วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564

Jagob Novel blog 003 | การปฏิวัติของสาวน้อยหนอนหนังสือ (003 : เรื่องนี้สนุกอย่างไร)

 


---------------------------------------------------------------------------------------------------


หากจะถามว่าสาวน้อยหนอนหนังสือสนุกอย่างไร?

ผมก็คงต้องขอตอบว่า ผมชอบแนวทางการเขียนเรื่องของ อ. คาสึคิมาก คือเรื่องนี้มีการคิดคำนวณเรื่องราวปลีกย่อยมาเยอะมาก ในจุดที่ถูกใจคือการกำหนดแนวทางของสังคมที่อาจจะมีตรรกะแนวทางปฎิบัติต่างจากโลกของเราไปพอสมควร ซึ่งถือว่าเรื่องนี้ไม่ได้ยัดเยียดอะไรเท่ๆ ลงไปเลย หากเทียบกับแฟนตาซีต่างโลกที่จู่ๆ ก็มีองค์ประกอบแบบญี่ปุ่นลอยเกลื่อนในต่างโลก ตั้งแต่เสื้อผ้า ธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งมาแบบงงๆ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างเข้มงวด เพราะมันเป็นต่างโลกที่คอนเซ็ปต์อัญเชิญจากต่างโลกไม่ได้เกร่อ ไม่มีองค์ประกอบแบบ สเตตัส หรือ สกิล อะไรให้ชวนคิดว่านี่เล่นเกม RPG อยู่หรือไง ซึ่งทั้งหมดนี้ สาวน้อยหนอนหนังสือ ไม่มีเลยครับ

สเกลของพื้นที่ที่ขยายอย่างมีลำดับ

เรื่องราวของสาวน้อยหนอนหนังสือเริ่มจากวงสังคมแคบๆ ใน "ย่านคนรายได้ต่ำ" อย่างเขตใต้ของเมืองสามัญชน ย้ายไปยังเขตเหนือของเมืองซึ่งผู้คนในเขตนั้น แต่งตัวและใช้ชีวิตคนละแบบกับโซนใต้ที่คล้ายกับ "ย่านของบ้านพักคนงาน" เขตทางเหนือเป็น "ย่านคนมีเงิน" เหนือย่านคนมีเงินคือ "วิหาร" ซึ่งอยู่กึ่งกลาง คั่นแบ่ง โซนสามัญชน กับ โซนขุนนาง ซึ่งสังคมในวิหารที่เริ่มมีบทบาทใหญ่ๆ ตั้งแต่นิยายภาค 2 ก็จะเริ่มแฟนตาซีขึ้น เริ่มมีสังคมชนชั้นหนาตาขึ้น พอนิยายภาค 3 ก็เขยิบไปไกลถึงวังของดยุคผู้ปกครองแคว้น แล้วพอภาค 4 เราก็จะพบว่า "เอเรนเฟสต์" อันกว้างใหญ่นั้น อันที่จริงเป็นเพียงแคว้นชายแดนของอาณาจักรใหญ่นาม "เจอเก้นสมิธ" 

การวางรากฐานสังคมที่น่าสนใจ

1. หากตั้งใจอ่านจะพบว่าในโลกใหม่นี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนรู้หนังสืออย่างที่ไมน์เข้าใจในทีแรก แค่คนรอบๆ ตัวไมน์ เป็นพวกชนชั้นล่างแบบรากหญ้า ที่นั่นทุกคนแทบไม่มีเงินเก็บ แต่ละบ้านทำงานแล้วก็ให้ทางบ้านเป็นค่าใช้จ่ายของครอบครัว ไม่มีแนวคิดจะสะสมเงินหรืออะไรเลย และการมองคุณค่าและราคาสินค้าก็ไม่ครอบคลุมแม้แต่น้อย 

2. สังคมชนชั้นล่างเป็นแบบลูกทำงานตามพ่อแม่ เน้นเรื่องการฝากงาน การฝึกงาน การจ้างงานระยะสั้น การจ้างงานตลอดชีพ สังคมชนชั้นที่ค่อนข้างหนานี้ทำให้ชนชั้นล่างลืมตาอ้าปากได้น้อย ส่วนมากเกิดจากการไร้การศึกษา + โลกทัศน์คับแคบ มันช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะมองไม่เห็นลู่ทางทางการค้า พวกพ่อค้านั้นถูกฝึกให้เป็นพ่อค้าตั้งแต่เด็ก ก็จะมองเห็นแบบนึง คนที่ไม่รู้หนังสือไม่เข้าใจงานของคนอื่นก็ดักดานอยู่ตรงนั้นไป ซึ่งหากเรามองมุมกลับ การปรากฎตัวของไมน์ซึ่งมีโลกทัศน์เหมือนเราๆ ท่านๆ ในยุคนี้ ก็คงเรียกได้ว่ามาเหนือชั้นมาก 

3. สังคมของชนชั้นสูงที่มีกติกาทางสังคมมากมายนั้น ก็คิดมาอย่างเป็นระบบ ในภาค 3 นั้น ไมน์ได้เข้าไปอยู่กลางวงล้อมของขุนนาง ซึ่งในนั้นก็ยังจะแบ่งเป็น ขุนนางชั้นสูง , ชั้นกลาง และ ชั้นล่าง อีก โดยการแบ่งนั้นก็มีเส้นแบ่งที่พลังเวทมนตร์ในแต่ละคน โลกนี้เข้มงวดจนถึงระดับที่จำต้องมีพลังเวททัดเทียมกันจึงจะแต่งงานกันได้แบบไร้ปัญหา คนที่มีพลังเวทมากไปก็จะหาคู่แต่งงานได้ยาก ดังนั้น ขุนนางแต่ละประเทศจึงต้องไปหาคู่แต่งงานกันตั้งแต่เรียนที่อะคาเดมี่ ซึ่งลูกหลานขุนนางทุกชนชั้นจะได้เข้าไปเรียนที่นั่น ซึ่งทำให้เกิดการแต่งงานข้ามแคว้นขึ้น ในทางกลับกัน ลูกหลานที่พลังเวทด้อยแม้จะเป็นขุนนางชั้นกลาง ก็จะโดนผลักใสมาทำงานเป็นนักบวชชุดฟ้าในวิหาร ไม่มีโอกาสแต่งงานหรือลืมตาอ้าปาก , บางคนแย่หน่อยก็ต้องมาทำงานรับใช้คนในบ้านตัวเองก็มี ซึ่งบอกเลยว่า เออ อ่านแล้วคนแต่งเขาแต่งเรื่องมาลึกดี ไม่มีพล็อตโฮล

เรื่องเสริมของตัวละครสมทบก็น่าสนใจ

ปกติแล้วเกือบทุกเรื่อง เราจะถูกบังคับให้โฟกัสที่ตัวละครเอกใช่มั้ยครับ? แต่เรื่องนี้ในช่วงท้ายเล่ม จะมีบทเสริมของตัวละครอื่นๆ ในมุมของเขา โดยมองไปในหลายๆเรื่อง ซึ่งปกติจะไม่พูดออกเสียงให้ไมน์ได้ยินแต่อย่างใด ซึ่งโดยส่วนตัวผมรู้สึกว่า มุมมองของพวกเขาอ่านสนุกกว่าของไมน์เองเสียอีก คือ ตัวไมน์จะมีตรรกะป่วยๆ ในหลายจุด ทั้งที่มีความรู้แต่ก็ไม่ชอบบอกให้คนอื่นรู้ แต่หลายๆ เรื่องก็มีมุมมองและการเตรียมตัวที่น่าสนใจ อย่างการเตือนสติลุตซ์ล่วงหน้าให้รู้จักออมเงินไว้เพื่อตัวเอง และ จงใช้เงินลงทุนทำอะไรที่จำเป็น หรือ ในจุดที่ไมน์มักจะมองข้ามนั้น ก็เริ่มสนุกอย่างในช่วง ภาค 3 เล่ม 5 นั้น ทูลี่ลำบากใจที่แม้จะได้อยู่ร้านใหญ่ ได้ทำงานให้ขุนนาง แต่ดูเหมือนว่าทางเจ้านายจะไม่ค่อยสอนมารยาทในการเข้าหาขุนนางให้เธอ เพื่อเป็นการปิดช่องทางลืมตาอ้าปากในภายภาคหน้าของเธอแบบอ้อมๆ เลยหาทางจนหาคนสอนได้ พอเบ็นโน่รู้ก็อยากจะส่งเด็กๆ ในร้านไปเรียนด้วย แต่กลายเป็นว่าเข้าไปเองไม่ได้ ถ้าปราศจากเส้นสาย พอทูลี่เรียนจบก็เลยเสนอว่า ถ้าหาเรียนยากก็น่าจะมีคู่มือให้ศึกษากันเองเนอะ ก็กลายเป็นว่า "หนังสือเล่มใหม่" ที่ไม่ได้เขียนโดยไมน์ แต่ออกมาตอบโจทย์คนอื่นก็ได้คลอดออกมาเพราะเรื่องแบบนี้ 


เนื้อเรื่องซับซ้อนกว่าที่คิด

แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ อ.คาสึคิ ก็ได้มีการแทรกบทสนทนาแปลกๆ เข้าไปตั้งแต่เนิ่นๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่คนอ่านอาจจะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกันยังไง จนกระทั่งตอนจบภาคที่กลายเป็นคลายปมปริศนาที่โผล่มาแต่แรกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ เรียกว่าหาพล็อตโฮลแทบไม่เจอเลย บางเรื่องบางคดีความเกิดจากกระทำเล็กๆ แต่นำมาซึ่งความยากลำบากของตัวละครในภาคหลัง ซึ่งทำให้เรื่องนี้มีมิติหลากหลาย


ไมน์ มีพลังมหาศาลแต่ไม่ได้ไร้เทียมทานเลย

ปกติเรามักจะพบว่าตัวเองแนวไปต่างโลกนั้น มักจะมีพลังอำนาจเหนือผู้คนขึ้นไป และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากลำบากมาได้ แต่นั่นไม่ใช่ไมน์ที่แม้จะพลังเวทเหลือล้น แต่ไม่มีใครสอนมนตร์โจมตีให้ มีพลังเวทเยอะบ้าบอไปก็ใช้ไม่เป็น ซึ่งทำให้เรื่องราวมันพัฒนาต่อไปในทางอื่นได้อีก ซึ่งสำหรับคนที่เบื่อแนวพระเอกเก่งล้นจนน่ารำคาญ ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูได้ครับ

           -----------------------------------------------------------------------------------------

 

แนะนำเรื่อง | แนะนำตัวละคร (1)  | เรื่องนี้สนุกอย่างไร

 
---------------------------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม